วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นี่คือ 9 เหตุผลที่เด็กยุคใหม่ ไม่อยากคุยกับพ่อแม่!

            ยุคสมัยนี้พ่อแม่ทำงานนอกบ้านกัน หมด และครอบครัวในสังคมยุคใหม่ก็เริ่มกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ที่มีเพียงพ่อแม่และลูก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน หรือบางครอบครัวอยู่บ้านใหญ่ในต่างจังหวัด พอเด็กเข้ามัธยมก็ส่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนดังๆ ในเมืองหรือในกรุงเทพ ทำให้ลูกๆ ต้องใช้ชีวิตด้วยตนเอง หลายๆ ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เด็กรุ่นใหม่หลายคน ห่างการพูดคุยอย่างเข้าใจกับพ่อแม่ พอบางครั้งมีเรื่องที่ลูกอยากปรึกษาหรืออยากคุยด้วย ก็เขินอาย เกรงใจกว่าที่จะเข้าไปพูดกับพ่อแม่โดยตรง หรืออายเกินกว่าที่จะแสดงความรัก ...


จริงไหม? นี่คือ 9 เหตุผลที่เด็กยุคใหม่ ไม่อยากคุยกับพ่อแม่! แต่ ประเด็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่แค่ว่าวัยรุ่นไม่กล้าแสดงความรักต่อพ่อแม่เท่านั้น เพราะบางครั้งเมื่อวัยรุ่นเกิดปัญหา อยากปรึกษาใครสักคน ก็ไม่กล้าเล่ากล้า คุยกับพ่อแม่เช่นกัน วัยรุ่นไม่ได้มองว่าพ่อแม่เป็นคนแปลก หน้า หรือ ไม่อยากปรึกษา แต่นอกจากปัจจัยข้างต้นที่ทำให้ห่างพ่อแม่โดยปริยายแล้ว สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ลูกวัยรุ่นเกิดความคิดว่า การพูดกับพ่อแม่ให้เข้าใจ...เป็นเรื่องยากเกินไป นี่คือ 9 เหตุที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากพูดกับพ่อแม่

 
1. เกรงใจพ่อแม่ เห็นทำงานมาเหนื่อยๆ 
 
           บางทีลูกก็อยากเล่าใจจะขาด แต่เห็นพ่อแม่กลับมาบ้านเหนื่อยๆ กลัวไปสร้างความรำคาญให้พ่อแม่ เกรงใจมากๆ เข้า เลยเป็นการเลี่ยงการพูดคุยกับพ่อแม่ไปโดยปริยาย พอจะกลับไปคุยด้วย ก็เขินอายเลยเลิกคุยไปด้วยก็มี ส่วนพ่อแม่ก็วางใจนึกว่าลูกยังสบายดี โตแล้ว ดูแลตัวเองได้ดี เลยไม่มาชวนลูกกๆคุย กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างเบนออกจากกันและกันโดยไม่รู้ตัว

 
2. ชอบนำไปเล่าต่อ

              เล่าต่อยังไม่เท่าไหร่ ถ้าเอาไปคุยข่มทับคนอื่น หรือเอาไปยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ว่าในทางข่มหรือถ่อมตน สำหรับวัยรุ่นก็รู้สึกว่าพ่อแม่กำลังแฉความลับของตัวเอง ถ้าได้ยินด้วยต่อหน้าก็ยิ่งรู้สึกวางหน้าไม่ถูก กรณีนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องดูว่าลูกของตัวเองนิสัยเป็นอย่างไร ขี้อายหรือไม่ถนัดรับมือกับการถูกกล่าวถึงหรือเปล่าด้วย เพราะเหตุของการที่ผู้ใหญ่นำไปเล่าต่อข้อนี้ มักทำให้วัยรุ่นปิดปากไม่พูดเรื่องของตัวเองมากยิ่งขึ้นเลย
 

3. เจ้ากี้เจ้าการ จู้จี้ขี้บ่น หยุมหยิมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
 
               ช่องว่างระหว่างวัย ความสนใจของผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่ไม่เหมือนกัน รวมกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ทำให้บางทีก็ไม่เป็นที่พอใจของผู้ใหญ่นัก แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีเหตุผลในความคิดของวัยรุ่น อย่างการลุกไปทำตามคำสั่งพ่อแม่ช้า "ออกไปซื้อของให้แม่หน่อย" วัย รุ่นอาจกำลังทำอะไร (เช่น ทำการบ้าน) ติดพันทำให้เขาลุกไปทำตามคำสั่งไม่ได้ทันที ซึ่งไม่ได้ตั้งใจชักช้าอืดถืด แต่เมื่อแม่เรียกและลูกช้าเข้าสักครั้งสองครั้ง แม่ก็คิดว่าลูกขี้เกียจทำตามคำสั่งแม่ และเหมารวมบ่นยาวทุกเรื่องทุกครั้งที่เรียกใช้งาน กลายเป็นคุณแม่ขี้บ่นไป ลูกวัยรุ่นก็ไม่เข้าใจว่าทำผิดอะไร ทำไมต้องจู้จี้ขี้บ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง
             
              กรณีการเรียกใช้งานนี้ก็แก้ไขได้ง่ายๆ  แม่ผู้ใหญ่ควรถามว่า ลูกว่างไหม ช่วยแม่ไปซื้อของได้หรือเปล่า แม่ต้องรีบใช้งานด่วน เดี๋ยวกับข้าวไหม้ ถ้าลูกได้ยินว่าแม่ค่อนข้างรีบเร่ง ก็จะกระตุ้นลูกได้ และฝ่ายลูกก็ควรตอบกลับทันทีว่า ขอผม/หนูทำการบ้านอีก 1 ข้อ แล้วรีบลงไป หรือติดพันอะไรอยู่ก็เร่งตอบกลับไปก่อน ไม่ควรเงียบหายไปเลย เพราะผู้ใหญ่ก็จะนึกว่าเราไม่สนใจท่าน
 
4. ยังฟังไม่จบ ก็จ้องจับผิดอย่างเดียวเลย 
 
         พ่อแม่ตั้งใจฟังลูก แต่ก็ฟังไปถามไป จับผิดไป สอนไป เล่าไม่ถึงไหนก็ถูกขัด "อ้าว แล้วเราไปทำแบบนั้นทำไมล่ะ" "นี่ลูกแย่เองหรือเปล่า" "ดูมา มาคิดอีกแบบนะ" คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เหมาะสมตามแต่กรณีไปค่ะ แต่ไม่ใช่กับการฟังลูกที่ยังพูดไม่จบ เพราะวัยรุ่นจะคิดว่า "นี่เรายังพูดไม่ทันจบ ก็หาว่าเราผิดซะแล้ว นี่ก็สอนอย่างเดียว นี่เราทำอะไรก็ผิดไปหมด ต่อไปเลิกพูดดีกว่า น่าเบื่อ" 

 
5. ถึงพ่อแม่จะฟัง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ตั้งใจฟังเราเลย

      ข้อนี้ต่างจากฟังแล้วจับผิดนะคะ เพราะการฟังในข้อนี้คือการไม่ตั้งใจฟัง เหมือนฟังให้มันจบๆ ผ่านๆไป แต่ จริงๆ เมื่อเรารู้สึกอยากเล่าอะไรมากๆ ตื่นเต้นมากๆ ให้ใครฟังสักคน แต่เขาไม่สนใจฟังเรา แม้จะไม่ได้บอกปัดใดๆ ก็ตาม ก็ทำให้อาการอยากเล่าอยากคุยลดหายไปค่ะ ยิ่งสำหรับพ่อแม่ ซึ่งเป็นคนที่ลูกรักแล้ว การรู้สึกว่าท่านไม่ฟังเราเลย ยิ่งทำให้กำลังใจเราลดลงไปอีกหลายร้อยส่วนเลย แล้วถ้าลูกรู้สึกแบบนี้เข้าบ่อยๆ ก็ไม่อยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟังอีก เพราะรู้สึกว่า เล่าไปพ่อแม่ก็ไม่สนใจ 

6. จู่ๆ ก็มาถาม มีนัยให้ รู้สึกว่ากำลังถูกจับผิด  

              ข้อที่ผ่านๆ มา อาจจะสำหรับบางครอบครัวที่ยังมีการพูดการเล่าการฟังลูกวัยรุ่น แต่ถ้าเงียบๆ กันไปสักพักแล้ว จู่ๆ ก็มาถามไถ่กัน ลูกอาจตั้งด่านวางกำแพงระแหวงพ่อแม่ไว้ก่อน ยิ่งถ้าเคยมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ชอบจับผิดตัวเองด้วยแล้ว ลูกยิ่งรู้สึกได้ง่ายว่าพ่อแม่หวังจะสืบราชการลับเรื่องของเราหรือเปล่า (ฮา) แต่ลูกๆ วัยรุ่นคะ จริงๆ พ่อแม่อาจแค่เป็นห่วงและอยากคุยกับลูกบ้างเท่านั้นเองจริงๆ ค่ะ ถ้าท่านมาคุยกับเรา ก็อยากเพิ่งตั้งป้อมใส่สีหน้ารำคาญ ฟังท่านเถอะ เราอยากให้ท่านฟังเรามากเท่าไหร่ เราก็เริ่มต้นที่เราฟังท่านก่อนได้ ย้ำ! สีหน้ามักมาก่อนปากขยับ ระวังอย่าชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย ไม่ว่าจะเด็กกว่าหรือผู้ใหญ่กว่า

7. พอให้เราแสดงความคิดเห็น แล้วก็ไม่ยอมฟัง

              จับผิดยังไม่พอ พูดอะไรไปแล้วยังปัดทิ้ง  วัยรุ่นจะคิดว่า "แล้ว ถามเรา ให้เราเสนอความเห็น แต่เสนอทีไรก็ปัดทิ้ง ไม่มีเหตุผลสักครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมไม่ดีสักอย่าง ขี้เกียจเสนออะไรแล้ว ไม่พูดดีกว่า" จริงๆ หากข้อเสนอของวัยรุ่นไม่เหมาะสมเพียงพอกับบางสถานการณ์ สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำมากกว่าคือ ควรบอกด้วยว่า ทำไมสิ่งที่ลูกเสนอนั้นยังไม่เหมาะสมเพียงพอ และจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น ให้โอกาสลูกได้เสนออีกครั้งค่ะ แน่นอนว่าวัยรุ่นต้องให้ความร่วมมือในการฟังเหตุผลฝ่ายผู้ใหญ่ด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไป มักกลายเป็นว่า พ่อแม่บอกปัดลูกโดยที่ไม่ชี้แจงสาเหตุ ลูกก็รำคาญพ่อแม่ที่พ่อแม่ไม่ฟังตัวเอง แต่จริงๆ สิ่งที่ทั้งฝ่ายลืมไป คือ การบอกให้เข้าใจกันค่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจตัวเองได้เอง ลูกที่เด็กกว่ามักเงียบเพราะรำคาญ และไม่อยากทะเลาะกับพ่อแม่ และต่อๆ ไปก็จะเลิกพูดดีกว่า และยังไม่เสียใจที่ถูกปฏิเสธด้วย 


8. เวลาดีๆ ไม่ยอมมาพูด ต้องมาพูดตอนเครียดๆ
           
            บางทีเวลาวัยรุ่นอยู่หน้าคอม อยู่ที่โต๊ะทำการบ้าน พ่อแม่ก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าลูกวัยรุ่นกำลังทำอะไรสำคัญอยู่หรือเปล่า (อยู่หน้าคอม ก็คิดว่าเล่นคอมเฉยๆ ก็ได้ใช่ไหมล่ะคะ) ดังนั้นพอพ่อแม่มาขัดเราเวลาเรากำลังยุ่งๆ วัยรุ่นก็ทำหน้าตึงใส่ทันที แทนที่จะเริ่มต้นคุยกันในบรรยากาศดี ๆ สบาย ๆ ไม่กดดัน ก็กลายเป็นว่าเริ่มต้นกันด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งชักสีหน้าใส่แล้ว เป้นแบบนี้เข้าหลายๆ ครั้ง ต่างฝ่ายต้องต่างอยากจะเลิกคุยกันแน่นอน 

 
9. อยากให้ปรึกษาได้ทุกเวลา แต่บางทีก็ยุ่งเกินไปทุกครั้ง 


          เช่นเดียวกับข้อเกรงใจ อาจเพราะเวลาไม่ตรงกัน กว่าพ่อแม่จะกลับมาบ้าน หรือกว่าลูกจะทำการบ้านเสร็จตอนดึกดื่น ลูก เองก็พบพ่อแม่ตอนท่านเหนื่อยๆ หรือเพิ่งกลับจากทำงาน ลูกอยากจะเล่าจะคุยอะไร บางครั้งก็ดูเนิ่นานเกินไป ทำให้เกรงใจกว่าจะพูด หรือพ่อแม่ก็กลัวลูกรำคาญเวลาจะทักตอนลูกกำลังทำอย่างอื่น เลยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้าไปคุยกับลูกเองเสียอีก สรุปได้ว่า นอกจากการฟังเหตุผลของกันและกันอย่างตั้งใจแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกันค่ะ อย่าหมางเมินที่จะคุยเล่นและมีเวลาร่วมกันบ้าง


http://www.dek-d.com/education/36530/

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เห็บกัดคนตาย เสียชีวิตคนแรกของโลก CDC เผย เชื้ออาจพัฒนาระบาดสู่คน







  
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกับข่าวล่าสุด เมื่อมีการค้นพบครั้งใหญ่ของโลกกับข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกว่า ชายอเมริกันคนหนึ่งโดนเห็บกัด และเชื่อว่าเห็บเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายคนหนึ่งเสียชีวิตที่รัฐแคนซัสเมื่อปีก่อน!
    โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ได้ตั้งชื่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า เบอร์เบิน ตามชื่อเทศมณฑลที่ชายคนนั้นอาศัยอยู่ โดยข่าวเผยว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไวรัสกลุ่มนี้ (กลุ่มโธโกโทไวรัส) ทำให้มนุษย์เสียชีวิต โดยชายที่เสียชีวิตอยู่ในวัย 50 ปีเศษ ถูกเห็บกัดหลายครั้งในช่วงหลายวัน ก่อนที่จะมีอาการปวดศีรษะและเป็นไข้ แพทย์ได้ให้ยาปฏิชีวนะ แต่อาการกลับทรุดลง ไตวายและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และเขาเสียชีวิตลงในวันที่ 11 นับจากเริ่มมีอาการป่วย

วิธีกำจัดเห็บ (เมื่อมันไม่ได้อยู่บนผิวหนัง)
1.ให้นำเศษกระดาษมาไว้ใกล้ๆตัวเห็บ และนำทางให้มันขึ้นมาอยู่บนกระดาษ
2.นำเศษกระดาษที่มีตัวเห็บมาวางไว้บนที่เขี่ยบุหรี่ และเผามันด้วยไม้ขีดที่จุดไฟ

วิธีกำจัดเห็บ (หากมันอยู่บนผิวหนัง)
1. ใช้แหนบหนีบตัวเห็บ
2.ดึงแหนบหรือที่กำจัดเห็บออกจากผิวหนังโดยบีบมันไว้เป็นเวลา 30 วินาที ดึงขึ้นเป็นแนวตรงห้ามเปลี่ยนทิศทาง
3.ในกรณีที่เห็บไม่ยอมหลุด ให้หยดแอลกอฮอล์ลงบนตัวเห็บ แต่ระวังอย่าหยดเยอะเกินเพราะมันอาจทำให้เห็บกลับไปติดที่ผิวหนังอีกครั้ง
4.ตรวจดูให้แน่ใจว่าเห็บได้หลุดออกจากผิวหนังจริง หากส่วนหัวยังคงติดอยู่ที่ผิวหนัง ก็ใช้แหนบดึงออกซ้ำ
5.ทิ้ง เห็บลงในกองไฟ  หรือจะบี้เห็บเข้ากับทิชชู่ แต่ต้องนำทิชชู่นั้นไปทิ้งในชักโครก และกดทิ้งหรือจะทิ้งเห็บลงในถ้วยที่ใส่แอลกอฮอล์ แต่อย่าใช้มือเปล่าหรือใช้เท้าเปล่าเหยียบหรือบี้เห็บโดยเด็ดขาด
6.เช็ดบริเวณที่บี้เห็บด้วยแอลกอฮอล์ให้สะอาด และนำทิชชู่ที่ใช้เช็ดไปทิ้งลงในชักโครก
7.ใช้ยากำจัดแมลงหรือกำจัดเห็บเพื่อป้องกันไม่ให้เห็บกลับมาคุกคาม


ขอบคุณรูปภาพจาก lifestyle.iloveindia

 http://news.boxza.com/view/24061

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สะเทือนใจ!! สาวชนเผ่าในเคนย่า มีค่าแค่นี้เองหรอ

     

      ในเคนย่ายังอุดมไปด้วยชนเผ่าที่มากมาย และบ่อยครั้งที่นี่ก็ยังคงใช้ ‘ลูก สาว’ เพื่อเป็นตัวเรียกสินสอดให้แก่ตระกูล แน่นอนว่าหลายคนอาจแย้งว่า “เอ๋า ก็นี่มันวัฒนธรรมของเขาง่ะผิดตรงไหน” แต่ที่น่าสะเทือนใจก็คือพ่อแม่จำนวนมากของชนเผ่าเหล่านี้ “ปกปิด” ลูกเกี่ยวกับการแต่งงานเสมอ
โดยพวกเขามักจะทำข้อตกลงลับๆกับหนุ่ม จากชนเผ่าอื่น จากนั้นก็ขายลูกสาวตัวเองทันทีทั้งที่พวกเธออายุประมาณ 14 ปี เท่านั้นเพื่อให้เป็นแม่พันธุ์แก่คนต่างเผ่า ซึ่งมีข้อแม้ว่าจะต้องนำแพะ 20 ตัวและอูฐอีก 3 ตัวมาแลก
ทั้งนี้สาเหตุที่ พ่อแม่ต้องปกปิดลูกเกี่ยวกับการแต่งงานเสมอ ก็เป็นเพราะว่าพวกเขากลัวลูกตัวเองจะหนีและทำให้พลาดโอกาสได้สัตว์ ที่จะเปรียบดั่งขุมทรัพย์อาหารของครอบครัว แล้วทุกครั้งที่หญิงสาวคนใดเจอเรื่องแบบนี้พวกเธอก็มักจะร่ำไห้อย่างปวดร้าว เพราะพวกเธอตระหนักแล้วว่าชีวิตหญิงสาวในชนเผ่าไม่มีทางเลือกใด ไม่ สามารถรักคนที่อยากรัก และบ่อยครั้งถูกใช้เป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น หากแต่อันที่จริงการใช้ลูกเพื่อแลกสินทรัพย์ก็ยังคงปรากฏในสังคมไทยเหมือนกัน

 


อ้างอิง http://hot.ohozaa.com/hot-8-18-141630

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

ปัญหาปี ค.ศ 2000 (Y2K Problem)

      ปัญหาปี ค.ศ. 2000 บางครั้งเรียกว่า ปัญหาวายทูเค (Y2K problem) เป็นปัญหาที่เกิดกับระบบเอกสารและการบันทึกข้อมูล ทั้งในแบบดิจิตอล (เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์) และระบบอนาล็อก สืบเนื่องมาจากการบันทึกปีคริสต์ศักราชจำนวนสี่หลัก ย่อเหลือเพียงสองหลักท้าย โดยละสองหลักแรก คือ "19" และ "20" ไว้ในฐานที่เข้าใจ
      ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ใช้งานจนถึงหลังเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 และเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 แต่ระบบกลับเข้าใจว่าเป็น ค.ศ. 1900 ทำให้การทำงานของระบบผิดเพี้ยน ปัญหานี้ถูกหยิบยกมากล่าวถึงเป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อ Computers in Crisis เขียนโดย Jerome และ Marilyn Murray ในปี ค.ศ. 1984 และในเครือข่ายยูสเนต ในปี ค.ศ. 1985 สร้างความตื่นตัวในแวดวงธุรกิจ การธนาคาร การแพทย์ และการทหาร ว่าอาจทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด อาจทำให้ระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า โทรศัพท์ ระบบอาณัติสัญญาณ ถึงขั้นหยุดการทำงาน

ความหมายของคำว่า Y2K

      Y2K คือคำย่อของ Year 2000 ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 โดย Y ย่อมาจากคำว่า Year, K เป็นหน่วยในการวัดค่าต่างๆ ในระบบเมตริก มีค่าเท่ากับ 1000 2K จึงมีค่า 2x1000 เท่ากับ 2000


สาเหตุ

  • การเก็บข้อมูลปี ค.ศ. เฉพาะแค่ 2 หลักท้ายแทนที่จะเก็บเต็ม 4 หลักโดยถือว่า 2 หลักหน้าคือ 19 เสมอ เช่น ค.ศ. 1998 จะเก็บแค่เพียง 98 ดังนั้นข้อมูลในระบบจึงมีค่าอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1900-1999 เท่านั้น เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 คอมพิวเตอร์ยังคงถือว่า 2 หลักหน้าคือ 19 อยู่เหมือนเดิม เมื่อป้อนปีเป็น 00 ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 คอมพิวเตอร์ยังคงตีความว่าเป็นปี ค.ศ. 1900 เหมือนเดิม คังนั้นการคำนวณเกี่ยวกับระยะเวลา เช่น การคำนวณอายุ การคำนวณระยะเวลา การชำระหนี้และการเรียงลำดับข้อมูลจึงผิดพลาดหมด
  • การคำนวณปีอธิกสุรทิน ไม่ถูกต้องทำให้เดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2000 มีเพียง 28 วันเท่านั้น ทำให้การคำนวณหาวันที่ในปี (Day of Year) หลังเดือนกุมภาพันธ์ผิดพลาดหมด กฎในการคำนวณปีอธิกสุรทินที่ถูกต้องคือ
1. ปีที่หารด้วย 4 ลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน
2. ปีที่หารด้วย 100 ลงตัวจะเป็นและไม่เป็นปีอธิกสุรทิน
3. ปีที่หารด้วย 400 ลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน
หากสลับกฎข้อ 2 และกฎข้อ 3 จะทำให้การคำนวณปีอธิกสุรทินของ ปี ค.ศ. 2000 ผิดพลาด
  • ช่วงก่อนวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 จะเกิดปัญหา Y2K แต่มีอีกวันที่มีปัญหาคล้ายกันวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1999 เพราะวันนี้อาจจะมีการเขียนในรูปแบบตัวเลข 9/9/99 ก็จะได้ขัดแย้งกับค่าวันที่ 9999 ที่ใช้บ่อยในการระบุวันที่ทราบ มันจึงเป็นไปได้ว่าโปรแกรมฐานข้อมูลอาจจะทำหน้าที่ในระเบียนที่มีวันที่ไม่ รู้จักในวันนั้น ค่อนข้างคล้ายกับนี้คือรหัสสิ้นสุดของแฟ้ม 9999 ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาที่มีอายุมากกว่า ในขณะที่ความกลัวเกิดขึ้นที่บางโปรแกรมไม่คาดคิดอาจยุติในวันที่ข้อผิดพลาด ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์
  • การแทนวันและเวลาโดยการนับจากเวลาอ้างอิงในอดีต เช่น ระบบหาตำแหน่งด้วยดาวเทียม (GPS) จะใช้ตัวเลขขนาด 10 บิต (Bits) แทนค่าเวลาเป็นสัปดาห์ นับตั้งแต่เดือนมกราคม 1980 เป็นต้นมา ซึ่งจะแทนค่าได้ 1024 สัปดาห์ และจะ Roll Over ในวันที่ 21 สิงหาคม 1999 ระบบ Unix เก็บวันและเวลาโดยการแทนค่าวินาทีนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1970 ด้วยตัวเลขขนาด 32 บิต ซึ่งจะ Roll Over ในปี 2038 เป็นต้น


วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Pendant mes vacances, j'ai aidé mon père à travailler. J'ai parlé avec mes amis. J'ai regardé des films. J'ai nettoyé ma maison. Je suis allée à Ang-Thong.

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ด้วงก้นกระดก

 

 ด้วงก้นกระดก


  " ด้วงก้นกระดก " ด้วงปีกสั้น หรือ ด้วงก้นงอน (Rove beetle) อันดับ Coleoptera วงศ์ Staphyinidae พบกระจายทั่วโลก กว่า 20 ชนิด สำหรับชนิดที่พบได้ในประเทศไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Paederus fuscipes Curtis. เป็นด้วงขนาดเล็กประมาณ 7 มม. ส่วนหัวมีสีดำ ปีกน้ำเงินเข้ม และส่วนท้องมีสีส้มมีความสามารถในการเคลื่อนไหว ได้รวดเร็ว และมักจะงอส่วนท้องส่ายขึ้นลงเมื่อเกาะ อยู่กับพื้น จึงมักเรียกว่า "ด้วงก้นกระดก" ด้วงชนิดนี้อาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ด้วงชนิดนี้สามารถปล่อยสารที่เรียกว่า "paederin" ออกมา สารชนิดนี้มีความเป็นพิษทพลายเนื้อเยื่อ
       ด้วงชนิดนี้ชอบออกมาเล่น ไฟในยามค่ำคืน โดยเฉพาะจะมีมากในฤดูฝน ผู้ที่สัมผัสลำตัวด้วงชนิดนี้ หรือตบตีจนน้ำพิษแตก จะมีอาการปวดแสบปวดร้อน คัน ในรายที่เป็นมาก อาจมีไข้ปวดศรีษะ หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ แผลจะมีลักษณะเป็นทางยาว อาจจะพบเป็นตุ๋มใส (vesicle) อาการเหล่านี้จะหายเองได้ภายใน 7 - 10 วัน ควรทำความสะอาดแผลและปิดปากแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ อาจใช้ยาสมานแผลพวกยาแก้แพ้ได้ เบื้องต้นหลังจากทราบว่าสัมผัสด้วงชนิดนี้ควรล้างด้วยน้ำสะอาดทันที หากอาการไม่ดีขึ้นให้พบแพทย์
       ด้วงก้นกระดกมีการเจริญ เติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) โดยมีการเจริญเติบโตแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย
       ระยะไข่ โดยปกติแล้วจะพบเห็นการวางไข่ของตัวเมียในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ในดินร่วนที่มีวัตถุเน่าเปื่อยปกคลุม ที่ใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งห่างจากผิวน้ำเล็กน้อย ในหนึ่งวันตัวเมียจะสามารถวางไข่ได้หลายฟอง โดยจะใช้เวลาในการฟัก 2 - 5 วัน จึงจะเป็นตัวอ่อน
       ตัวอ่อน ลักษณะเป็นแบบ Compodieform ลำตัวค่อนข้างยาว (ส่วนท้องจะยาวกว่าส่วนอื่น) สามารถเห็นหัวได้ชัดเจน หนวดสั้น กรามแข้ง มีขา 6 ขา ส่วนท้องมีแพนหาง 2 เส้น ดำรงชีพด้วยการกินวัตถุเน่าเปื่อย และหนอนเล็กๆ ของแมลงที่อาศัยอยู่ในดิน ใช้เวลา 6 - 10 วัน จึงจะเข้าดักแด้
       ดักแด้ ลักษณะใกล้เคียงกับดักแด้ผีเสื้อ แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก สามารถมองเห็นขาที่ติดข้างลำตัวได้ชัดเจน ใช้ระยะเวลา 3 - 4 วัน จึงจะเป็นตัวเต็มวัย
       ตัวเต็มวัย ลำตัวยาวแคบ ความยาวของลำตัวประมาณ 6.5 - 7.0 มิลลิเมตร ลำตัวเป็นเงามัน มีสีฉุดฉาด ส่วนหัวมีสีดำ หนวดค่อนข้างยาว มี 12 - 13 ปล้อง
       ประโยชน์ นอกจากพิษภัยที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ด้วงก้นกระดกก็ยังมีประโยชน์ในทางการควบคุมแมลงทางการเกษตร โดยด้วงก้นกระดกจะช่วยกำจัดไข่หนอนผีเสื้อ เป็นการควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืช และยังสามารถใช้ประโยชน์ทางด้านนิติเวชกีฏวิทยาได้อีกด้วย กล่าวคือด้วงก้นกระดกจะทำลายไข่และหนอนของแมลงวัน 

 อ้างอิง: http://www.ku.ac.th/e-magazine/sep50/agri/rove%20beetle.htm

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Argentina

อาร์เจนตินา

ความเป็นมาของอาร์เจนตินา (Background)

อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งจากการส่งออกผลผลิตทางการเกษตร จนกลายเป็นประเทศมั่งคั่งที่สุด 1 ใน 10 ในยุค 1880-1929 แต่การเมืองถูกชี้นำโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม มีกลุ่มการเมืองสายกลางที่ก่อกำเนิดขึ้น คือ Radical Civic Union และได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเสรีครั้งแรกในปี ค.ศ.1916 โดยมีนโยบายสนับสนุนเกษตรกรและธุรกิจรายย่อย แต่ก็ถูกโค่นล้มโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมซึ่งมีนโยบายแบบปกป้องเศรษฐกิจ(Protectionist policy) จนในปี ค.ศ.1946 พลเอก Juan Peron ได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองภายใต้ "Peronism" เพื่อสนับสนุนผู้ใช้แรงงาน และสหภาพแรงงานต่างๆ การโอนกิจการสำคัญเข้าเป็นของรัฐ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมือง(Urban development) มากกว่าการพัฒนาเกษตรกรรม

นอกจากนี้อาร์เจนตินายังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญมากที่สุดทางเศรษฐกิจ 3 อันดับแรกของอเมริกาใต้ (อันได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล และซิลี หรือกลุ่ม ABC) และอาร์เจนตินา ก็ยังเคยเป็นประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ดอร์ลาร์ 1 เปโซ ทำให้นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจตลาดนี้เป็นอย่างมาก แต่ด้วยการเติบโตแบบก้าวกระโดด และการบริหารงานด้านการเงินผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่คุมสาธารณูปโภคหลักภายในประเทศ ทำเอาอาร์เจนตินา ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด ถึงขนาดเข้าพึ่ง IMF เมื่อปลายปี 2544
ภูมิศาสตร์ (Geography)

  • ที่ตั้ง : ตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ทิศเหนือติดต่อกับ โบลิเวีย ปารากวัย ทิศตะวันออกติดต่อกับบราซิลและอุรุกวัย ทิศตะวันตกและทิศ ใต้ติดต่อกับและประเทศชิลี
  • พื้นที่ : 2,766,890 ตร.กม. (พื้นดิน 2,736,690 ตร.กม. พื้นน้ำ 30,200 ตร.กม.)
  • ดินแดนอาณาเขต : รวม 9,861 กม. โดยมีพื้นที่อาณาเขตติดกับโบลิเวีย 832 กม. บราซิล 1,261 กม. ชิลี 5,308 กม. ปารากวัย 1,880 กม. อุรุกวัย 580 กม.
  • เขตชายฝั่ง : 4,989 กิโลเมตร
  • เมืองหลวง : กรุงบัวโนสไอเรส (Buenos Aires)
  • เมืองสำคัญ : Federal District, CÓrdoba, Santa Fe, Mendoza, Tucumán
  • ภูมิอากาศ : โดยทั่วไปมีอุณหภูมิแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ภาคเหนือและใต้ของประเทศ
    ภาคเหนือ - อากาศกึ่งร้อนกึ่งอบอุ่น(ฤดูร้อน 23-37 เซลเซียส / ฤดูหนาว 5-22 เซลเซียส)
    ภาคใต้ - อากาศหนาวและฝนตก(ฤดูร้อน 10-21 เซลเซียส / ฤดูหนาว ต่ำกว่า 0 เซลเซียส)
    บริเวณใต้สุดของประเทศมีลักษณะอากาศแบบแอนตาร์กติกซึ่งเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี ทั้งนี้บริเวณที่ราบแปมปัส (Pampas plains) มีอากาศอุ่นและชื้น อุณหภูมิเฉลี่ย 23 องศาเซลเซียส ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมีนาคม และ 12 องศาเซลเซียส ตั้งแต่มิถุนายน ถึง กันยายน พอจะแบ่งเป็นฤดูกาลได้ 4 ฤดู ฤดูใบไม้ผลิ ก.พ. - มี.ค, ฤดูหนาว พ.ค. -ก.ค, ฤดูใบไม้ร่วง ส.ค. - ต.ค, ฤดูร้อน พ.ย. - ม.ค. มีช่วงแห้งแล้งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ และกึ่งแอนตาร์กติกในภาคตะวันตกเฉียงใต้
  • ภูมิประเทศ : เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าแพมพัสในส่วนเหนือของประเทศ ที่ราบลุ่มจนถึงภูเขาสูงๆ ต่ำๆ Patagonia ในตอนใต้ และมีเทือกเขา Andes ตามแนวชายแดนฝั่งตะวันตก
  • ทรัพยากรธรรมชาติ : ทุ่งหญ้าแพมพัส ตะกั่ว สังกะสี ดีบุก ทองแดง เหล็ก แมงกานีส ปิโตรเลียม และยูเรเนียม
  • ภัยธรรมชาติ : San Miguel de Tucuman และ Mendoza ที่อยู่แถบเทือกเขาแอนดิส เป็นพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหว Pamperos เป็นลมพายุที่มีความรุนแรงซึ่ง เกิดในแถบแพมพัสและภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้ำท่วมหนัก
  • สภาพแวดล้อม(ปัญหาปัจจุบัน) : ปัญหาสิ่งแวดล้อม (ทั้งในเมืองและชนบท) เช่น ปัญหา การทำลายป่าไม้ ปัญหาดินเสื่อมโทรม ปัญหาที่ดินกลายเป็นทะเลทราย ปัญหามลภาวะทางอากาศ และปัญหามลภาวะทางน้ำ ทั้งนี้ อาร์เจนตินาเป็นประเทศผู้นำของโลกในการตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
  • เวลา : -3 GMT (ช้ากว่าประเทศไทย 10 ชั่วโมง)

ประชากรศาสตร์ (Demography)
  • ประชากร : 40.91 ล้านคน
  • โครงสร้างอายุ : 0-14 ปี คิดเป็น 25.6% (ชาย 5,369,477/ หญิง 5,122,260)
    15-64 ปี คิดเป็น 63.5% (ชาย 12,691,725/ หญิง 13,029,265)
    65 ปี ขึ้นไป คิดเป็น 10.8% (ชาย 1,819,057/ หญิง 2,611,800) Mulatto
  • อัตราการเติบโตของประชากร : 1.053 %
  • สัญชาติ : อาร์เจนไทน์ (Argentine)
  • กลุ่มชนพื้นเมือง : 97% ผิวขาว (ส่วนใหญ่เป็นชาวสเปน และอิตาเลียน) อีก 3% Mulatto (ผสมระหว่างผิวขาวกับผิวดำ) อเมริกันอินเดียน หรือกลุ่มคนที่ไม่ใช่ผิวขาวอื่นๆ
  • ศาสนา : โรมันคาทอลิก 92% โปรเตสแตนท์ 2% ยิว 2% อื่นๆ 4%
  • ภาษา : สเปน(ภาษาราชการ) อังกฤษ อิตาเลียน เยอรมัน ฝรั่งเศส (ประมาณการปี 2552)
ธงของอาร์เจนตินา (Flag of Argentina)
ธงชาติของประเทศอาร์เจนตินาถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2355 ลักษณะเป็นธงสามแถบแนวนอน ประกอบด้วยแถบสีฟ้า-ขาว-ฟ้า ซึ่งแต่ละแถบมีความกว้างเท่ากัน รูปดวงอาทิตย์สีเหลืองกลางธง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Sun of May หรือ ดวงอาทิตย์แห่งเดือนพฤษภาคม (สเปน: Sol de Mayo) ได้เพิ่มเข้ามาภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2361 ซึ่ง “Sun of May” ถือเป็นการสดุดีถึงชัยชนะของชาวอาร์เจนตินาที่ได้รับเอกราชมาจากสเปน และเชื่อว่าชัยชนะที่ได้รับนั้นมาจากพระเจ้าของพวกเขาซึ่งก็คือดวงอาทิตย์นั้นเอง ประเทศที่ใช้สัญลักษณ์ “Sun of May” บนธงชาติมีอยู่ 2 ประเทศคือ อาร์เจนตินา กับ อุรุกวัยเท่านั้น
รูปธงชาติที่มีดวงอาทิตย์จะเป็นธงชาติสำหรับพิธีการ หากธงไม่มีดวงอาทิตย์ จะถือเป็นธงชาติสำหรับประดับตกแต่ง แม้ธงทั้งสองอย่างนี้จะมีศักดิ์เป็นธงชาติเหมือนกัน แต่ธงชาติสำหรับประดับตกแต่งจะต้องชักไว้ต่ำกว่าธงชาติสำหรับพิธีการเสมอ


การเมือง (Politic)

คริสติน่า เฟอร์นันเดซ ระบบการปกครอง : เป็นแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข คริสติน่า เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์(Cristina Elisabet Fernández de Kirchner) เป็นประธานาธิบดีหญิงอาร์เจนตินา คนปัจจุบัน (10 ธันวาคม 2007 วาระ 4 ปี) ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง มีวาระ 4 ปี สามารถลงสมัครเป็นสมัยที่สองได้ ประกอบด้วย ๒ สภา คือ (1) วุฒิสภา (Senate) มีสมาชิก 72 คน มาจากการเลือกตั้งจากแต่ละจังหวัดและเขตเมืองหลวงสหพันธ์ เขตละ 3 คน มีวาระ 6 ปี และ (2) สภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies) มีสมาชิก 257 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 4 ปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกครึ่งหนึ่งทุกสองปี
การแบ่งเขตบริหาร : แบ่งเป็น 23 จังหวัด (Provinces) และ 1 เขตเมืองหลวงสหพันธ์ (Federal Capital)
วันชาติ : 25 พฤษภาคม (25 พฤษภาคม 2353 หรือ Revolution Day)
วันประกาศเอกราช : 9 กรกฎาคม 2359 (วันประกาศอิสรภาพจากสเปน)
วันสถาปนารัฐธรรมนูญ : 1 พฤษภาคม 1853 และ มีการแก้ไขหลายครั้งตั้งแต่ปี 1860
ระบบกฎหมาย : ผสมผสานระหว่างระบบกฎหมายของสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก

พรรคการเมืองสำคัญ ได้แก่
- พรรค Peronist (Justicialist Party) ของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
- พรรค Radical Civic Union (UCR)
- พรรค Union of the Democratic Centre


เศรษฐกิจ (Economics)
อาร์เจนตินาเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธัญพืช ถั่วเหลือง และเนื้อวัว โดยภาคเกษตรเป็นรายได้หลักของภาคเศรษฐกิจอาร์เจนตินา คิดเป็นร้อยละ 11 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยถั่วเหลืองและเมล็ดพืชน้ำมัน เป็นสินค้าส่งออกหลักคิดเป็น ร้อยละ 24 ของสินค้าส่งออก สินค้าธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และเมล็ดทานตะวัน มีปริมาณการส่งออกร้อยละ 8 รวมทั้ง ปศุสัตว์ถือเป็นสินค้าออกที่สำคัญด้วย
อาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในห้าประเทศผู้ส่งออกสินค้าธัญพืชรายใหญ่ของโลก หลังจากอาร์เจนตินาประสบวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงในช่วงปี 2544-2545 เมื่อฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว อาร์เจนตินาก็มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง โดยในระหว่างปี 2546-2550 อาร์เจนตินามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) มากกว่าร้อยละ 8.5 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าธัญพืช (Grains) มีการปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก
อาร์เจนตินายังมีปริมาณแร่ธรรมชาติจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณแถบเทือกเขาแอนดิสทางด้านตะวันตกของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 1 ใน 5 ของประเทศที่ได้ถูกสำรวจ ปัจจุบันมีการพัฒนาการโครงการเหมืองแร่ของประเทศ นอกจากนี้ อาร์เจนตินามีปริมาณก๊าซสำรองจำนวนมาก โดยส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังชิลี
ในปี 2553 มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาจะมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 4.2 อันเป็นผลจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังคงรุมเร้าทำให้ราคาสินค้าและความต้องการสินค้า ในตลาดโลกลดลง ประกอบการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ประชาชนและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยและลงทุน

  • ดัชนีทางเศรษฐกิจ (ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ)
  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) (ประมาณการปี 2552)
    - GDP Official Exchange Rate : 304.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    - GDP Real Growth Rate : -2.5 %
    - GDP per capita (PPP) : 13,800 เหรียญสหรัฐ
    - GDP by Sector : เกษตร : 6%
    - อุตสาหกรรม : 32%
    - บริการ : 62%
    - กำลังคน : จำนวน 16.54 ล้านคน (ประมาณการปี 2552)
    - สาขาเกษตร : 5%
    - สาขาอุตสาหกรรม : 23%
    - สาขาบริการ : 72%
    - อัตราการว่างงาน : 9.6% (ประมาณการปี 2552)
    - จำนวนประชากรที่ต่ำกว่าเส้นความยากจน : 13.9% (มกราคม - มิถุนายน 2552)
    - รายได้ครัวเรือนหรือการบริโภค : ต่ำสุด 10%: 1.2%
    - สูงสุด 10%: 32.6% (มกราคม – มีนาคม 2550)
    - อัตราเงินเฟ้อ : 7.7% (ประมาณการปี 2552)
    - การลงทุน (Stock of Direct Foreign Investment) : 79.54 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณการ 31ธันวาคม2552)
    - งบประมาณ : รายได้ : 84.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    - รายจ่าย : 86.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณการ 31ธันวาคม2552)
    - ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) : 14.43 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณการปี 2552)

  • สาขาการผลิตที่สำคัญ
    - สินค้าเกษตร : เมล็ดทานตะวัน, มะนาว, ถั่วเหลือง, องุ่น, ข้าวโพด, ยาสูบ, ถั่วลิสง, ชา, ข้าวสาลี และสัตว์ปีก
    - สินค้าอุตสาหกรรม : อุตสาหกรรมอาหาร, มอเตอร์ไซค์, สินค้าอุปโภคบริโภค, สิ่งทอ, เคมีภัณฑ์และสินค้าปิโตรเคมี, สิ่งพิมพ์, โลหะ และเหล็กกล้า

  • การค้าระหว่างประเทศ
    - การส่งออก: 54.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    - สินค้าส่งออก: ถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง น้ามันถั่วเหลือง ธัญพืช น้ามัน ยานยนต์ เนื้อวัว เคมีภัณฑ์
    - คู่ค้าส่งออกที่สำคัญ: บราซิล (20.6%) ชิลี (7.97%) จีน (6.6%) สหรัฐอเมริกา (6.1%) เนเธอร์แลนด์ (4.35%)
    - การนำเข้า: 38.77 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    - สินค้านำเข้า: ยานยนต์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ น้ามันดิบ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ พลาสติก
    - คู่ค้านาเข้าที่สำคัญ: บราซิล (30.5%) สหรัฐฯ (13.17%) จีน (12.44%) เยอรมนี (5.14%)

  • ข้อมูลอื่นๆ
    - เงินสำรองเงินตราต่างประเทศ : 45.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ธันวาคม 2551)
    - หนี้ (ภายนอกประเทศ) : 135.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณการธันวาคม 2551)
    - สกุลเงิน (รหัสย่อ) : Argentine Peso (ARS)
    - อัตราแลกเปลี่ยน : 1 US$ = 3.84 Argentine Peso (ประมาณการปี 2552)
    - ปีงบประมาณ : มกราคม-ธันวาคม
การคมนาคม (Transportation)
การติดต่อสื่อสารและคมนาคม : เป็นเรื่องสำคัญในประเทศใหญ่อย่างอาร์เจนตินา ในการเดินทางติดต่อกันระหว่างเมืองต่อเมือง ซึ่งโชคดีที่อาร์เจนตินามีถนนหนทางที่มีคุณภาพดี เช่นเดียวกับระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ครอบคลุมทั่วถึงมีบริการดีและราคาถูก พาหนะต่างๆ ที่มี อาทิเช่น รถไฟใต้ดิน รถไฟ แท็กซี่เครื่องบิน และรถโดยสารส่วนตัว
รถใต้ดินบัวโนสไอเรส เป็นรถสายแรกๆ ของโลก(เริ่มปี 2456) และมีพัฒนาการที่น่าสนใจมาตลอด
รถในอาร์เจนตินามีราคาสูง และค่าจดทะเบียนก็สูง รวมไปถึงค่าน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปัจจุบันคนหันมาใช้รถขนาดเล็ก แบบซิตี้คาร์มากขึ้น


วัฒนธรรม (Culture)
  • คำทักทาย : ในภาษาสเปน สวัสดียามเช้า Buenos Dias (บัวโนสไดอาส), สวัสดีตอนกลางวัน Buenas Tardes (บัวนาสตาร์ดาส), สวัสดีตอนเย็น Buenas Noches (บัวนาชนอช)
  • วิธีทักทาย : ผู้หญิงกับผู้หญิงที่เจอกันครั้งแรก จะเอาแก้มขวาชนกัน สำหรับผู้ชายกับผู้ชายที่มีการเจอกันครั้งแรก จะจับมือกัน แต่ถ้ามีการสนิทสนมกันมากขึ้นแล้ว ก็จะนำแก้มมาชนแก้มเช่นเดียวกันกับผู้หญิง หรือถ้าสนิทกันมากกว่านั้น ก็จะกอดกัน ถ้าเป็นกระเทยกับผู้ชายก็จะจับอวัยวะเพศของฝ่ายตรงข้าม
  • การอ่าน : คนอาร์เจนตินาเป็นนักอ่าน เห็นได้จากงานหนังสือที่จัดขึ้นที่บัวโนสไอเรส ทุกๆ ปีมีผู้เข้าชมงานกว่า 1.5 ล้านคน และมียอดขายสูงมาก ทำให้เห็นถึงความชื่นชอบในการอ่านและสุนทรีย์ทางวรรณกรรม
  • ศิลปะ : ภาพเขียน จิตรกรรม ดนตรี เป็นสิ่งที่บัวโนสไอเรส จัดว่าเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในละตินอเมริกา
  • การรับประทานอาหาร : คนอาร์เจนตินารับประทานอาหาร 4 มื้อ คือ เช้า กลางวัน น้ำชาตอนบ่าย และมื้อเย็น เครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้าและน้ำชาคือ ชาสมุนไพร ที่เรียกว่า Mate นอกนั้นคือ ชา กาแฟ ที่จะรับประทานกับขนมปัง และของหวานต่างๆ มื้อกลางวันและเย็นจะเป็นมื้อสำคัญของวัน พาสตาและซอสมะเขือเทศและเนื้อย่าง (Churasco) จะเป็นอาหารหลัก ผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านซึ่งจะระวังเรื่องการรับประทานอาหาร มื้อกลางวันอาจมีแค่สลัดหรือโยเกิร์ต เครื่องดื่มจะเป็นน้ำ โซดา หรือน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล อาหารที่ได้รับความนิยมสูงคือ Granola Bars (ขนมปังแท่งเคลือบธัญพืช) เป็นอาหารสุขภาพของผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้าน ซึ่งทำให้อิ่มและมีแคลอรี่พอเพียงสำหรับ 1 มื้อ
    ปั๊มน้ำมันปัจจุบันจะมีการพัฒนาร้านสะดวกซื้อให้มีขนาดใหญ่และสามารถดึงดูดลูกค้าด้วยอาหารง่ายๆเช่น แฮมเบอร์เกอร์ แซนด์วิช สลัด ซึ่งสะดวกสำหรับชีวิตที่เร่งรีบ และบางแห่งกลายเป็นที่กินอาหารกลางวันของคนทำงานในเมืองใหญ่
  • หอศิลปะและพิพิธภัณฑ์ : เป็นสถานที่ที่คนอาร์เจนตินาชื่นชอบ และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อ ได้แก่ Fine Arts Museum พิพิธภัณฑ์ภาพเขียนนอกจากนี้ก็มีโรงละคร Colon Theatre ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นโรงละครโอเปรามีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก
  • เทศกาลสำคัญ : National Folklore Festival Cosquin เทศกาลดนตรีและเต้นรำของประเทศจัดขึ้นที่ Prospero Molina เมือง Cosquin แคว้น Cordoba ช่วงครึ่งหลังเดือนมกราคมของทุกปี และการเฉลิมฉลองที่เรียกว่า Tango day วันแทงโก้ ในเดือนธันวาคม และ Carlos Gardel รู้จักในชื่อ “El Zorzal Criollo” เป็นตัวแทนนักร้อง Tango
  • เต้นรำแทงโก้ : ถือเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของอาร์เจนตินา Tango Dance เป็นมนต์เสน่ห์แห่งวัฒนธรรมดนตรีและการเต้นรำจังหวะอันร้อนแรงเย้ายวนของหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความอารมณ์ความรู้สึก ทั้งจังหวะดนตรีและรูปแบบการเต้นรำที่กำเนิดในอาร์เจนตินาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 โดยผสมผสานอิทธิพลของคิวบา สเปน และแอฟริกันเข้าด้วยกัน นอกจากทำให้คู่เต้นแนบชิดดูเซ็กซี่ โรแมนติกและเปี่ยมด้วยอารมณ์แล้ว ยังเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ดี มีประโยชน์กับร่างกาย จังหวะที่นิยมเต้นกันมาก คือ วอล์ค (Tango Walk), โพรเกรสซีฟ ไซด์ สเต็ป(Progressive Side Step) และโพรเกรสซีพ ลิงค์ (Progressive Link) เป็นต้น
พฤติกรรมชาวอาร์เจนตินา (Behavior or Argentinean)
พฤติกรรมต่างๆ ของชาวอาร์เจนตินา สามารถบ่งบอกถึงวิถีชีวิต ความเป็น วัฒนธรรม และรสนิยมของพวกเขาได้มากมาย สำหรับพฤติกรรมที่น่าสนใจของชาวอาร์เจนตินาที่มีอยู่คือ
  • มากกว่าครึ่งของประชากรอาร์เจนตินาอายุต่ำกว่า 30 ปี การเจาะตลาดในอาร์เจนตินา จึงมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่วัยรุ่น เพราะสามารถสร้าง Brand Loyalty
  • ผู้ชายจะเป็นผู้ทำงานมากกว่าผู้หญิงแต่แนวโน้มผู้หญิงทำงานนอกบ้านจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ผู้ชายในอาร์เจนตินายังเป็นผู้นำในสังคม ผู้ชายจะไม่ซื้อกับข้าว ของใช้ในครัวเรือน แต่จะซื้อเนื้อและไวน์ตามรสนิยมความชอบ และซื้อของที่มีความคงทนเช่น รถยนต์ เครื่องไฟฟ้า และของตกแต่งบ้าน
  • ผู้หญิงในอาร์เจนตินาจะอายุยืนกว่า จะอาศัยอยู่เพียงลำพังเมื่อสามีจากไป และลูกๆ แยกออกไปมีครอบครัว แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของสินค้าหลายชนิด แต่ก็จะมีชมรมผู้สูงอายุชอบจับกลุ่มสังสรรค์ด้วยการกินน้ำชา ซื้อของและไปดูหนัง
  • แนวโน้มผู้หญิง จะมีอิสระมากขึ้น และมีรายได้เป็นของตนเอง
  • ผู้หญิงในกรุงบัวโนสไอเรส ต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อออกทำงาน และมีหน้าที่การงานดีๆ รายได้สูงๆ มากกว่าการมีลูก แต่ในต่างจังหวัดอัตราการเติบโตของเด็กก็ยังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มของผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่สนใจการคุมกำเนิดและจะมีลูกในวัย 14-28 ขณะที่หญิงที่ทำงานจะเริ่มมีลูกระหว่างวัย 30-40 ปี
  • พ่อ-แม่ ชาวอาร์เจนตินา จะให้การดูแลเอาใจใส่ลูกๆ เป็นอย่างดี และปัจจุบันจะมีลูกน้อยลง แต่จะใช้จ่ายไปกับลูกมากขึ้น โดยคนอาร์เจนตินานิยมเลี้ยงลูกเอง แม้ว่าจะต้องทำงาน สถานรับเลี้ยงเด็กไม่เป็นที่นิยม เช่นประเทศอื่นๆ เพราะปู่ ย่า ตา ยาย จะช่วยดูแลหลานให้แทนถ้าแม่ต้องทำงาน
  • เด็กทุกๆ ระดับชั้นจะได้รับอิทธิพลของโฆษณาสินค้าในโทรทัศน์ ตัวการ์ตูนจากหนังที่โด่งดัง ดารา หรือฟุตบอลดังๆ จะถูกนำมาผลิตเป็นของใช้ตั้งแต่กระเป๋านักเรียนไปถึงขนมหวาน
  • เดิมร้านขายสินค้าเด็กจะมีมากในเมืองหลวง แต่ระยะหลังกลายเป็นมุมหนึ่งในห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาเก็ต เพื่อให้คนในครอบครัวสามารถประหยัดเวลาได้
  • วัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเงินทองมาก เนื่องจากแฟชั่นทั้งในโรงเรียนและละครทางโทรทัศน์ ผู้ชายจะสนใจฟุตบอล ผู้หญิงจะสนใจแฟชั่น นักร้อง และเครื่องสำอาง ทั้งนี้วัยรุ่นอาร์เจนตินาจะแต่งตัวกันโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆ ในละติน
  • โทรศัพท์มือถือ เป็นแฟชั่นที่วัยรุ่นอยากจะมีอยากจะได้ นอกจากนี้พ่อ-แม่ก็อยากให้ลูกมีประจำตัวเพื่อจะได้เช็คสถานที่อยู่และเรื่องความปลอดภัย
  • แม้ว่าทางกฎหมายแล้ว ประเทศอาร์เจนตินาจะห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ซื้อและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป วัยรุ่นจะนิยมดื่มเบียร์กันในการเข้าสังคมทั่วไป
  • คนวัยทำงาน จะเป็นวัยที่ชอบแต่งตัว และมักเป็นลูกค้าหลักของเครื่องสำอาง น้ำหอม เครื่องสำอางแบบขายตรง น้ำยาหลังโกนหนวดก็ได้รับความนิยมมาก
  • ปัญหาหลักของประเทศคือการเลี้ยงดูคนวัยเกษียณ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ประกันสังคมเพิ่งจะได้รับการแปรรูปให้ออกจากระบบราชการ และอีกหลายปีกว่าที่จะสามารถจัดการเบิกเงินออกมาให้คนกลุ่มนี้ได้
  • สังคมครอบครัวเป็นครอบครัวที่เหนียวแน่น อยู่รวมกันจนกว่าลูกๆ จะเริ่มทำงานมีรายได้ และแยกไปอยู่ข้างนอก ปกติพ่อคือคนที่ทำงานเป็นหลัก ขณะที่แม่จะอยู่บ้านดูแลลูกหรือทำงานพิเศษบ้าง ตามแต่วัยของลูก
  • คนสูงอายุและคนที่อยู่ตามลำพังมักจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน และมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง เพราะต้องจ้างคนจูงเดิน ข้าวของเครื่องใช้ที่มีราคาสูง ตั้งแต่ปลอกคอ สายจูง ไปจนถึงแชมพูบำรุงขน อาหาร และอื่นๆ
  • กลุ่มคนวัยทำงานจะใช้จ่ายทางด้านบริการมากกว่าซื้อสินค้า และเป็นวัยที่ชอบออกงานปาร์ตี้
  • ครอบครัวฐานะดีๆ เลือกซื้อบ้านอยู่ในย่านชานเมืองที่มีบริเวณและไม่พลุกพล่านนัก ส่วนคอนโดมีเนียมหรูๆ กลางกรุงบัวโนสไอเรส มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัญหาในเรื่องความปลอดภัยทำให้อาคารชุดเหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างมาก
  • คนอาร์เจนตินามีการใช้จ่ายในเรื่องสุขภาพและความงามค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่องเครื่องสำอางและของใช้ในห้องน้ำ คนอาร์เจนตินาเป็นคนรักสวย รักงาม จึงมีธุรกิจศัลยกรรมพลาสติกค่อนข้างแพร่หลายทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ร้านเสริมสวยกลายเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมและทำได้สูง
  • สิ่งบันเทิงที่ได้รับความนิยม คือ หนังสือ เพราะคนอาร์เจนตินาเป็นนักอ่าน และชอบซื้อหนังสือให้เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ การเช่าภาพยนตร์ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เช่นเดียวกับเกมส์คอมพิวเตอร์
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ โทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์กลายเป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
  • คนส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกยิม หรือสปอร์ตคลับ กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือ บาสเก็ตบอล และเทนนิส
ตราสินค้าในอาร์เจนตินา (Brand in Argentinean)
- แบรนด์สินค้า
- แบรนด์บุคคล

อ้างอิง (Reference)
- http://www.ryt9.com/s/expd/590331
- http://th.wikipedia.org/wiki/%
- http://www.chicbiscuit.com/2009/09/travel-argentina-guide/
- http://internationalschool.eduzones.com/topic.php?id=12006
- http://www.argentinaemb-bkk.com/html/economic_th.htm
- http://ethaitrade.com/2008/export-watch/argentina-export-business-watch/
- http://mapsof.net/argentina/static-maps/png/argentina-flag-map
- http://www.mfa.go.th/web/2390.php?id=15
- http://www.oknation.net/blog/print.php?id=11096
- http://www.mfa.go.th/fealac/thai_latin_america_focus_detail.php?section=2&id=52
- http://www.en.argentina.ar/_en/culture/C341-the-national-folklore-festival.php
- http://users.elite.net/runner/jennifers/thankyou.htm
-http://interad-argentina.blogspot.com/2010/06/background.html